ลูกค้าเช่าซื้อรถหรูหนาว หากรถถูกดีเอสไอยึด ยังต้องผ่อนต่อจนหมดค่างวด

นายอนุชาติ ดีประเสริฐ ประธานกรรมการสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย เปิดเผยว่า หากกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ทำการยึดรถหรูที่พบว่าเป็นรถผิดกฎหมายและยังเป็นลูกค้าเช่าซื้ออยู่ด้วย ทางลูกค้าก็ยังต้องชำระค่างวดส่วนที่เหลือต่อไปเหมือนเดิมจนครบสัญญา เพราะหากไม่ส่งค่างวดตามที่กำหนด บริษัทเช่าซื้อก็ต้องบันทึกเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ|เอ็นพีแอล และอาจถูกขึ้นบัญชีดำที่เครดิตบูโรได้ ซึ่งก็ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

“ยืนยันว่าบริษัทเช่าซื้อมีความเข้มงวดในการให้สินเชื่ออยู่แล้ว โดยเฉพาะรถนำเข้าเองจะต้องมีเอกสารหลักฐานถูกต้องตามกฎหมายและมีคุณสมบัติครบตามที่กำหนด ดังนั้น เรื่องนี้ไม่น่าเป็นห่วงเพราะสินเชื่อรถหรู ส่วนใหญ่จะต้องวางเงินดาวน์ในอัตราที่สูงกว่าปกติ คือ 20-25% อยู่แล้ว และระยะเวลาการผ่อนค่างวดก็สั้นกว่าสินเชื่อรถยนต์ทั่วไป” นายอนุชาติ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดทางดีเอสไอได้ส่งรายชื่อผู้ครอบครองรถยนต์หรูจำนวน 488 คัน มาให้บริษัทสมาชิกสมาคมช่วยตรวจสอบดูว่ามีการทำสัญญาเช่าซื้อกับบริษัทใดบ้าง ซึ่งก็ยังไม่ได้มีการระบุว่าทำผิดหรือถูก และเป็นข้อมูลเมื่อปี 2555

ทั้งนี้ ทางสมาชิกของสมาคมเห็นว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงและกระทบต่อธุรกิจเช่าซื้อแต่อย่างใด เนื่องจากหน่วยงานรัฐเน้นตรวจสอบรถหรูที่จดประกอบมากกว่า ส่วนรถหรูที่นำเข้ามาทั้งคันอย่างถูกต้องตามกฎหมายก็คงไม่มีปัญหาอะไร

สำหรับภาพรวมของธุรกิจเช่าซื้อในปัจจุบันก็ยังไม่มีสัญญาณการเพิ่มขึ้นของเอ็นพีแอลแต่อย่างใด ซึ่งทั้งระบบมีอยู่ประมาณ 1.5% และจำนวนรถยึดเฉลี่ยก็ยังเป็นปกติเฉลี่ยเดือนละ 800-1,000 คัน จากทั้งระบบที่มีรถอยู่ประมาณ 1 ล้านคัน เพราะนโยบายส่วนใหญ่ของบริษัทเช่าซื้อก็ไม่อยากจะยึดรถอยู่แล้ว และพยายามให้ลูกค้าผ่อนค่างวดจนถึงที่สุด แต่หากผ่อนไม่ไหวจริงๆ จึงค่อยยึดรถ แล้วนำมาขายทอดตลาด

นายเอกพิทยา เอี่ยมคงเอก กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท สหการประมูล กล่าวว่า ผลจากการยกเลิกจองรถคันแรกและบริษัทเช่าซื้อเร่งระบายรถยึดที่มีอยู่ ได้ส่งผลกระทบให้ราคารถยนต์มือสองทั้งเก๋งและกระบะที่มีขนาด 1,300-1,500 ซีซี ราคาปรับลดลงไป 17.40% หรือเฉลี่ยอยู่ที่คันละ 2.8-3.1 แสนบาท และคาดว่าจะส่งผลต่อเนื่องไปถึงปลายปีนี้ ดังนั้น จึงเป็นโอกาสดีของผู้บริโภคอีกทางหนึ่งที่จะได้รถราคาประหยัด

 

แหล่งข่าวจาก posttoday…

อยากสูงด้วยการพาลูกหลานไปฉีดฮอร์โมน

เด็กที่มีประจำเดือนในวัยตั้งแต่ 9-14 ถือว่าเป็นเรื่องปกติ หลายคนจะพาลูกมาชะลอการมีประจำเดือนโดยใช้ยาเพื่อหวังว่าลูกจะได้โตกว่าปกติ อยากสูงซึ่งความจริงแล้วการให้ฮอร์โมนไม่ได้ทำให้ลูกสูงขึ้น เพราะวัยไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ผิดปกติ ถ้ามีประจำเดือนก่อน 9 ขวบหรือมีเต้านมโตขึ้นก่อนอายุ 8 ขวบถึงจะเป็นเรื่องผิดปกติ และควรใช้ฮอร์โมนซึ่งจะต้องฉีดทุกเดือนๆละ 1 เข็ม ติดต่อกันจนอายุ 12-14 ปีเพื่อชะลอฮอร์โมนเพศในการเป็นหนุ่มสาวให้ดำเนินไปเหมือนเด็กคนอื่น อยากสูงถ้าไม่ฉีดการมีประจำเดือนก่อนวัยจะทำให้เขากลายเป็นผู้ใหญ่ที่เตี้ยกว่าปกติเมื่อโตขึ้น โดยบางคนมีประจำเดือนแล้วยังจะมาฉีดด้วยซ้ำ ซึ่งความเชื่อเหล่านี้ไม่ถูกต้อง เพราะการมีประจำเดือนไม่ได้มีผลให้ไม่สูง แต่มันเป็นสัญญาณบอกว่าโตจนเกือบเต็มที่แล้ว ประจำเดือนถึงมา พอมาแล้วก็โตได้อีกนิดเดียว เด็กที่ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอจะส่งผลต่อความอยากสูงถ้าพ่อแม่รู้จักสังเกตจะพบว่าในช่วงก่อนหน้านั้นลูกของเราจะโตเร็วกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน ขณะเดียวกันกระดูกก็จะปิดเร็วกว่าคนอื่นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นถึงฉีดไปก็เท่านั้น